วิวัฒนาการคืออะไร???
คนมาจากลิงจริงหรือ?? ไม่ใช่หรอกพระเจ้าสร้างมา??
เอ๊ะหรือว่ามาจากต่างดาว??
สิ่งเหล่านี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันในเรื่องของวิวัฒนาการ
แต่โดยทฤษฎีแล้ววิวัฒนาการคืออะไรลองมาศึกษาดูกัน
วิวัฒนาการ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ในส่ิ่งมีชีวิตที่ส่งผลให้ส่ิงมีชีวิตดั้งเดิมกลายเป็นสปีชีส์ใหม่
เป็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ด้าน ทั้งรูปร่าง สริระวิทยา และพฤติกรรม
โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ ต่อเนื่องกันจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อมีการศึกษาและนำทฤษฎีพันธุกรรมมาอธิบายกลไกการเกิดวิวัฒนาการ
จึงมีการให้ความหมายว่า
วิวัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับประชากรของส่ิงมีชีวิต
เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของยีนในประชากรทีละเล็กทีละน้อยตามระยะเวลาที่ผ่านไปจนกระทั่งประชากรใหม่มีความแตกต่างจากประชากรเดิม
ในที่สุดเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่
(ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2548)
แนวความคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก
(Larmarck’s Hypothesis of Evolution)
ลามาร์กเป็นคนแรกที่เสนอว่า
สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากแรงผลักจากสภาพแวดล้อม
และไม่ได้ถูกกำหนดโดยอำนาจเหนือธรรมชาติ
กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse)
กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse)
“สิ่งแวดล้อมมีผลต่อรูปร่างของสัตว์
อวัยวะหรือชิ้นส่วนของอวัยวะที่ใช้งานบ่อยๆ ติดต่อกันไปย่อมมีการเจริญ
พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิต
ส่วนอวัยวะที่ไม่ได้ใช้ก็อ่อนแอลงและเสื่อมหายไปในที่สุด”
“ลักษณะที่ได้มาหรือเสียไปเนื่องจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม
(ลักษณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง) โดยการใช้หรือไม่ใช้ จะคงอยู่และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกรุ่นต่อๆ
ไป (inheritance of acquired characteristics)”
ที่มา : https://i.pinimg.com/originals/33/05/d4/3305d431b2506d672fbaab30680ce6f2.png
จากภาพอธิบายง่ายๆ
ก็คือ เมื่อก่อนบรรพบุรุษของยีราฟคอสั้นแต่ต้องยืดคอเพื่อกินยอดไม้ที่อยู่สูง
คอจึงยาวขึ้นเรื่อยๆ และลักษณะคอยาวซึ่งเป็นลักษณะที่มีประโยชน์ก็จะถูกถ่ายทอดสู่รุ่นต่อๆ
ไป จนในที่สุดยีราฟคอสั้นก็หมดไป เหลือแต่ยีราฟคอยาวให้เราเห็นกันจนถึงปัจจุบัน
กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม่ (law of inheritance of acquired characteristics)
มีใจความว่า “ลักษณะที่ได้มาใหม่หรือเสียไปโดยอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม โดยการใช้และไม่ใช้จะคงอยู่และสามารถถ่ายทอดลักษณะที่เกิดใหม่นี้ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปได้”
แนวความคิดของลามาร์กไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น
เนื่องจากไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าลักษณะที่เกิดจากการใช้และไม่ใช้ของอวัยวะสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้อย่างไร
“ออกัสไวส์มานค้านทฤษฎีของลามาร์ก
โดยกล่าวว่าลักษณะที่ถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้นั้นจะต้องเกิดจากเซลล์สืบพันธุ์มิใช่จากเซลล์ร่างกาย เขาตัดหางหนูตัวผู้และตัวเมียแล้วให้ผสมพันธุ์กันปรากฏว่าลูกหลานออกมามีหางทำติดต่อกันถึง 20 รุ่น หนูในรุ่นที่ 21 ก็ยังคงมีหางอยู่ ไวส์มานอธิบายว่าการตัดหางหนูออกเป็นการกระทำต่อเซลล์ร่างกาย
แต่เซลล์สืบพันธุ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะหางยาวซึ่งจะถูกถ่ายทอดโดยเซลล์สืบพันธุ์จึงยังคงอยู่”
ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน
ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) เกิดที่ประเทศอังกฤษในปี
ค.ศ. 1809 เขาสนใจธรรมชาติตั้งแต่เด็ก
พ่อของดาร์วินเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เมื่อดาร์วินอายุ 16 ปี
พ่อส่งดาร์วินเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเอดดินเบอร์ก (University of
Edinburgh) แต่ดาร์วินไม่ชอบเขาจึงไม่เรียนต่อ
และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) เมื่อดาร์วินจบปริญญาตรี ได้รู้จักกับกัปตันโรเบิร์ต ฟิทส์รอย (Robert
Fitzroy) ซึ่งกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางสำรวจรอบโลกด้วยเรือเอชเอ็มเอส
บีเกิ้ล (HMS Beagle) และดาร์วินได้ร่วมเดินทางไปด้วย
ปี ค.ศ.1831 ดาร์วินขณะนั้นอายุ 22 ปี
เดินทางกับเรือบีเกิ้ลออกจากประเทศอังกฤษ เป้าหมายเพื่อสำรวจชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้
ระหว่างการเดินทางตลอดระยะเวลา 5 ปี ดาร์วินสำรวจและเก็บตัวอย่างสปีชีส์ของพืชและสัตว์
ตลอดจนซากดึกดำบรรพ์ (Fossil)
จำนวนมากจากบริเวณที่เรือสำรวจผ่าน และดาร์วินสังเกตเห็นว่า
มีการปรับตัวหลากหลายรูปแบบของทั้งพืชและสัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่แต่กต่างกัน
ดาร์วินมีความสนใจในการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตในแต่ละภูมิภาคอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อเรือบีเกิ้ลเดินทางสำรวจหมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos
Islands) ซึ่งก่อตัวจากภูเขาไฟใต้น้ำ ตั้งอยู่บริเวณศูนย์สูตร
ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของทวีปอเมริการใต้ประมาณ 900 กิโลเมตร
ที่นั่นดาร์วินพบสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอที่ใดในโลก
เขาเก็บตัวอย่างนกหลายชนิดรวมทั้งนกจำพวกฟินซ์ (Finch) ซึ่งดูเหมือนว่ามีลักษณะคล้ายกันมาก
แต่เมื่อดาร์วินเดินทางกลับอังกฤษและส่งตัวอย่างให้ผู้เชียวชาญด้านการดูนกตรวจดู
พบว่า นกฟินส์ที่เก็บตัวอย่างมากจากแต่ละเกาะเป็นนกฟินส์คนละสปีชีส์กัน
บางชนิดพบเฉพาะบนเกาะใดเกาะหนึ่งเท่านั้น
และในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นบางชนิดก็พบเฉพาะบนเกาะกาลาปากอส
การค้นพบครั้งนี้ทำให้ดาร์วินตั้งสมมุติฐานว่า
สิ่งมีชิวิตบนเกาะกาลาปากอสนั้นมีการพลัดหลงหรืออพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ของอเมริกาใต้
และต่อมาวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของแต่ละเกาะ
หลักฐานดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต
หลักฐานดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตหรือหลักฐานทางธรณีวิทยา(geological
evidence) เป็นหลักฐานซากพืชซากสัตว์ในชั้นหินต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า
ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) วิชาที่ศึกษาซากเหล่านี้เรียกว่า
บรรพชีวินวิทยา (paleontology)
โดยปกติเมื่อสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ตายลงก็มักจะถูกย่อยสลายให้เน่าเปื่อยผุพังลงจนไม่มีซากเหลืออยู่
แต่สำหรับบางสภาวะที่ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของซากสิ่งมีชีวิตได้ดี เช่น
การอยู่ในน้ำแข็ง การอยู่ในยางไม้ (อำพัน) หรือการฝังตัวอยู่ในดินโคลนจนกลายเป็นหินจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ตายลงยังคงเหลือให้เห็นเป็นซากดึกดำบรรพ์
(fossil) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้เราทราบว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่เกิดขึ้นในอดีต
หลายชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ไดโนเสาร์ และส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ก็มีสัณฐานเปลี่ยนแปลงไป
ซากดึกดำบรรพ์จะพบมากในหินชั้นหรือหินตะกอน
นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณอายุของซากดึกดำบรรพ์ได้จากอายุของชั้นหิน
ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในหินชั้นล่างย่อมมีอายุมากกว่าซากที่พบในหินชั้นบน
และเมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างแล้วซากดึกดำบรรพ์ในหินชั้นบนจะมีความซับซ้อนและมีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันมากกว่า
ซากดึกดำบรรพ์เป็นเพียงหลักฐานหนึ่งเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการ
เพราะซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบอาจไม่สมบูรณ์จึงให้รายละเอียดได้ไม่เพียงพอ
ดังนั้นการเข้าใจถึงวิวัฒนาการจึงต้องใช้หลักฐานอื่นมาสนับสนุนเพิ่มเติม
- ซากดึกดําบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่โบราณที่สุด ได้แก่
สาหร่ายสีเขียวแกมนํ้าเงิน พบมาก่อนยุคแคมเบรียน(อายุประมาณ5พันล้านปี )
- ซากสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สาหร่ายสีเขียว
และพืชสีเขียวบนบกเริ่มพบในยุคแคมเบรียน (6ร้อยล้านปี)มหายุคพาเลโอโซอิก
- ซากดึกดําบรรพ์ ของสิ่งมีชีวิตที่นับว่าสมบูรณ์
ที่สุด คือ ม้าโบราณ
- ม้าโบราณ สูง11นิ้ว มีนิ้ว3นิ้ว
ส่วนม้าปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่า คือสูง60นิ้ว มีนิ้วเหลือเพียง1นิ้วเท่านั้น
หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ
การศึกษาเปรียบเทียบของโครงสร้างต่างๆในตัวเต็มวัย
กำเนิด หน้าที่ และการทำงานของกลุ่มสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้แก่ Homologous
structure และ Analogous structureเป็นการศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างของระบบอวัยวะในสัตว์ชนิดต่างๆ
ดังจะพบได้ว่าโครงกระดูกขาหน้าของสัตว์ปีกและสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกต่างมีโครงสร้างและลักษณะการเรียงตัวเป็นแบบเดียวกันซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของสายวิวัฒนาการของสัตว์เหล่านี้ว่าน่าจะสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันนอกจากนี้สัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่างมีแบบแผนของโครงกระดูกขาหน้าเช่นเดียวกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์ปีก
เช่น ครีบโลมา ปีกค้างคาวและแขนคน
เป็นต้นอวัยวะเหล่านี้เมื่อสังเกตภายนอกจะเห็นว่ามีรูปร่างต่างกันและทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าศึกษาโครงสร้างภายใน
เช่นการเรียงตัวของโครงกระดูกจะพบว่าอวัยวะเหล่านั้นมีการเรียงตัวของโครงสร้างเหมือนกันและหากได้ศึกษาต้นกำเนิดของอวัยวะเหล่านั้นจะพบว่าเจริญมาจากกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกันซึ่งเป็นข้อสนับสนุนอีกอย่างว่าครั้งหนึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสืบสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันแต่ในสัตว์หลายชนิดจะมีอวัยวะบางอย่างที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายคลึงกัน
และทำหน้าที่เหมือนกัน เช่น ปีกนก ปีกแมลง
ฯลฯแม้จะมีรูปร่างคล้ายคลึงกันแต่ถ้าได้ศึกษาโครงสร้างภายในและพบว่าแตกต่างกันแสดงว่าสัตว์เหล่านั้นสืบทอดมาจากบรรพบุรุษต่างกัน
-Homologous
structure
โครงสร้างมาจากจุดกำเนิดเดียวกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน
วิวัฒนาการของโครงสร้างนี้เรียกว่า Homology การที่มีจุดกำเนิดเดียวกันแสดงว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในเชิงวิวัฒนาการ
(มีบรรพบุรุษร่วมกัน) แผนภาพเปรียบเทียบ Homologous structure ของระยางคู่หน้าในสัตว์มีกระดูกสันหลังซึ่งจะแตกต่างกันในขนาด
รูปร่างและหน้าที่ แต่มีแบบแผนของโครงสร้างคล้ายคลึงกัน
(สังเกตลักษณะกระดูกชิ้นต่างๆที่มีสีเดียว มาจากจุดกำเนิดเดียวกัน)
-Analogous
structure
โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่มาจากจุดกำเนิดต่างกันแต่ทำหน้าที่เหมือนกัน
เรียกวิวัฒนาการของโครงสร้างนี้ว่าAnalogy ในเชิงวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ไม่มีความสัมพันธ์กันทางบรรพบุรุษ
เช่น แผนภาพเปรียบเทียบ ปีกนก ปีกแมลง โครงสร้างมาจากจุดกำเนิดต่างกัน
แต่นำไปใช้ในการบินเช่นเดียวกัน
หลักฐานจากคัพภะวิทยา
ในบางกรณีที่ไม่สามารถ
ศึกษากายวิภาคเปรียบเทียบในระยะตัวเต็มวัยได้
แต่เมื่อศึกษาการเจริญเติบโตในระยะเอ็มบริโอแล้ว
พบว่าใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้จากการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลังระยะแรกๆ
จะเห็นว่ามี อวัยวะบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน เช่น ช่องเหงือก(gill
slit) และหาง เป็น ต้น
ความคล้ายคลึงกันของการเจริญเติบโตในระยะเอ็มบริโอนี้อาจเป็นไปได้ว่า
สัตว์มีกระดูกสันหลังเหล่านี้ต่างมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปร่างอันเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการเพื่อให้เหมาะสมต่อการ
ดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล
สิ่งมีชีวิตพื้นฐานทุกชนิดมีดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม
(ยกเว้นไวรัสบางชนิด)
ความเหมือนหรือความแตกต่างของลำดับเบสในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดสามารถใช้บ่งชี้ถึงความใกล้ชิดกันทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้
กล่าวคือสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกันเชิงวิวัฒนาการจะมีความเหมือนกันของดีเอ็นเอมากกว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มอื่น
และเนื่องจากโปรตีนเป็นผลิตภัณฑ์จากรหัสของดีเอ็นเอ
ดังนั้นจึงอาจใช้การศึกษาเปรียบเทียบความต่างของโปรตีนในการเปรียบเทียบความต่างของยีนในสิ่งมีชีวิตเพื่อศึกษาวิวัฒนาการได้เช่นกัน
ความต่างของลำดับเบสในไซโทโครม
ซี ของมนุษย์ (human_cytc) และลิงชิมแพนซี (chimp_cytc)
ซึ่งมีเบสต่างกันเพียง 4 ตัว จาก318 เบส หรือคิดเป็นความแตกต่าง
1.2% แสดงว่ามนุษย์และลิงชิมแพนซีน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในเชิงวิวัฒนาการไซโทโครม
ซี เป็นโปรตีนตัวสำคัญที่ช่วยในการหายใจระดับเซลล์ พบในไมโทคอนเดรีย)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น